แนวข้อสอบ ระบบการสื่อสารข้อมูล
จงกากบาท (X) เลือกข้อที่ถูกที่สุดเพียงข้อเดียว
1. Data Communications หมายถึงข้อใด
ก. การขนส่งข้อมูล
ข. การสื่อสารข้อมูล
ค. การแปลงข้อมูล
ง. ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ ข. การสื่อสารข้อมูล
การสื่อสารข้อมูล (Data Communications) หมายถึง กระบวนการถ่ายโอนหรือแลกเปลี่ยนข้อมูลกันระหว่างผู้ส่งและผู้รับโดยผ่านช่องทางสื่อสาร เช่น อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์หรือคอมพิวเตอร์เป็นตัวกลางในการรับส่งข้อมูล เพื่อให้ผู้ส่งและผู้รับเกิดความเข้าใจซึ่งกันและกัน
2. “เป็นสิ่งที่มีอยู่ในธรรมชาติมักจะลดทอนหรือรบกวนระบบ อุปสรรค์ที่เกิดขึ้นระหว่างการรับส่งข้อมูล” คือข้อใด
ก. Noise
ข. Voice
ค. Sink
ง. ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ ก. Noise
สัญญาณรบกวน (Noise) เป็นสิ่งที่มีอยู่ในธรรมชาติมักจะลดทอนหรือรบกวนระบบ อาจจะเกิดขึ้นได้ทั้งทางด้านผู้ส่งข่าวสาร ผู้รับข่าวสาร และช่องสัญญาณ แต่ในการศึกษาขั้นพื้นฐานมักจะสมมุติให้ทางด้านผู้ส่งข่าวสารและผู้รับข่าวสารไม่มีความผิดพลาดตำแหน่งที่ใช้วิเคราะห์ มักจะเป็นที่ตัวกลางหรือช่องสัญญาณ เมื่อไรที่รวมสัญญาณรบกวนด้านผู้ส่งข่าวสารและด้านผู้รับข่าวสารในทางปฏิบัติมักจะใช้วงจรกรอง (Filter) กรองสัญญาณแต่ต้นทางเพื่อให้การสื่อสารมีคุณภาพดียิ่งขึ้นแล้วค่อยดำเนินการ เช่น การเข้ารหัสแหล่งข้อมูล เป็นต้น
3. ปัจจัยใดที่ทำให้สัญญาณไมโครเวฟมีสัญญาณอ่อนลงหรือหักเห
ก. ในที่มีอากาศร้อนจัด
ข. ในเขตชุมชนที่มีสิ่งปลูกสร้างหนาแน่น
ค. ในสถานที่ที่มีพายุหรือฝน
ง. ถูกทั้ง ข้อ ก. ข. และ ค.
ตอบ ง. ถูกทั้ง ข้อ ก. ข. และ ค.
เพื่อป้องกันการแทรกหรือรบกวนจากสัญญาณอื่นๆ แต่สัญญาณอาจจะอ่อนลงหรือหักเหได้ในที่มีอากาศร้อนจัด พายุหรือฝน ดังนั้นการติดตั้งจานส่ง-รับสัญญาณจึงต้องให้หันหน้าของจานตรงกัน และหอยิ่งสูงยิ่งส่งสัญญาณได้ไกล
4. ข่ายการสื่อสารข้อมูลเป็นการรับส่งข้อมูลจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง โดยอาศัยระบบการส่งข้อมูลทางใด
ก. คลื่นไฟฟ้า
ข. แสง
ค. น้ำ
ง. ถูกทั้ง ข้อ ก. และ ข.
ตอบ ง. ถูกทั้ง ข้อ ก. และ ข.
ข่ายการสื่อสารข้อมูล หมายถึง การรับส่งข้อมูลหรือสารสนเทศจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งโดยอาศัยระบบการส่งข้อมูลทางคลื่นไฟฟ้าหรือแสง อุปกรณ์ที่ประกอบเป็นระบบการสื่อสารข้อมูลโดยทั่วไปเรียกว่า ข่ายการสื่อสารข้อมูล (Data Communications Network)
5. ข้อใดไม่ใช่องค์ประกอบพื้นฐานของข่ายการสื่อสารข้อมูล
ก. Transmisstion Channel
ข. Translate Channel
ค. Receiving Unit
ง. Sending Unit
ตอบ ข. Translate Channel
องค์ประกอบการพื้นฐานของข่ายการสื่อสารข้อมูล (Data Communications Network)
1. หน่วยรับข้อมูล (Receiving Unit)
2. หน่วยส่งข้อมูล (Sending Unit)
3. ช่องทางการส่งข้อมูล (Transmisstion Channel)
6. การสื่อสารข้อมูล (Data Transmission) มีกี่รูปแบบ อะไรบ้าง
ก. 2 รูปแบบ คือ การสื่อสารแบบอนุกรม และการสื่อสารแบบขนาน
ข. 2 รูปแบบ คือ การสื่อสารแบบไปกลับ และการสื่อสารแบบแจ้งรับ
ค. 3 รูปแบบ คือ การสื่อสารแบบอนุกรม การสื่อสารแบบขนาน และการสื่อสารแบบทางเดียว
ง. 3 รูปแบบ คือ การสื่อสารแบบไปกลับ การสื่อสารแบบทางเดียว และการสื่อสารแบบขนาน
ตอบ ก. 2 รูปแบบ คือ การสื่อสารแบบอนุกรม และการสื่อสารแบบขนาน
วิธีการสื่อสารข้อมูล (Data Transmisstion)
ลักษณะของการสื่อสารข้อมูลมี 2 รูปแบบคือ การสื่อสารแบบอนุกรม (Serial Data Transmission) และการสื่อสารแบบขนาน (Parallel Data Transmission)
7. สถานีไมโครเวฟลอยฟ้า เป็นคำเปรียบเสมือนจากข้อใด
ก. ดาวเทียม
ข. พระอาทิตย์
ค. จานดาวเทียม
ง. ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ ก. ดาวเทียม
การสื่อสารด้วยดาวเทียม (Satellite Transmission)
ดาวเทียม คือ สถานีไมโครเวฟลอยฟ้านั่นเอง ซึ่งทำหน้าที่ขยายและทบทวนสัญญาข้อมูลรับและส่งสัญญาณข้อมูลกับสถานีดาวเทียมที่อยู่บนพื้นโลก สถานีดาวเทียมภาคพื้นจะทำการส่งสัญญาณข้อมูลไปยังดาวเทียมซึ่งจะหมุนไปตามการหมุนของโลก ซึ่งมีตำแหน่งคงที่เมื่อเทียบกับตำแหน่งบนพื้นโลก
8. เนื่องจากสายเกลียวคู่จะมีการสูญเสียสัญญาณขณะส่งสัญญาณ จึงจะเป็นจะต้องมีสิ่งใดต่อไปนี้
ก. Amplifier
ข. Repeater
ค. Echo
ง. Coaxial
ตอบ ก. Amplifier
สายเกลียวคู่สามารถใช้ได้ทั้งการส่งสัญญาณข้อมูลแบบอนาล็อกและแบบดิจิตอล เนื่องจากสายเกลียวคู่จะมีการสูญเสียสัญญาณขณะส่งสัญญาณ จึงจำเป็นต้องมี “เครื่องขยาย (Amplifier)” สัญญาณสำหรับการส่งสัญญาณข้อมูลแลลอนาล็อกในระยะทางไกลๆ หรือทุก 5-6 กม. ส่วนการส่งสัญญาณข้อมูลแบบดิจิตอลต้องมี “เครื่องทบทวน (Repeater)” สัญญาณทุกๆ ระยะ 2-3 กม. เพราะว่าแต่ละคู่ของสายเกลียวคู่จะแทนการทำงาน 1 ช่องทาง และสามารถมีแบนด์วิดท์ได้กว้างถึง 250 กิโลเฮิรตซ์
9. การส่งสัญญาณข้อมูลแบบดิจิตอลของสายเกลียวคู่จำเป็นต้องมีสัญญาณในข้อใด
ก. Amplifier
ข. Repeater
ค. Echo
ง. Coaxial
ตอบ ข. Repeater
ดูคำอธิบายข้อข้างต้น
10. โฟโต้ไดโอด (Photo Diode) มีหน้าที่ใด
ก. ทำหน้าที่รับลำแสงที่ถูกส่งมาเพื่อเปลี่ยนสัญญาณแสงให้กลับไปเป็นสัญญาณมอดูเลตตามเดิม
ข. ทำหน้าที่รับรหัสที่ถูกส่งมาเพื่อเปลี่ยนรหัสให้กลับไปเป็นสัญญาณมอดูเลตตามเดิม
ค. ทำหน้าที่รับคลื่นเสียงที่ถูกส่งมาเพื่อเปลี่ยนคลื่นเสียงให้กลับไปเป็นสัญญาณมอดูเลตตามเดิม
ง. ทำหน้าที่รับคลื่นไมโครเวฟที่ถูกส่งมาเพื่อเปลี่ยนคลื่นไมโครเวฟให้กลับไปเป็นสัญญาณมอดูเลตตามเดิม
ตอบ ก. ทำหน้าที่รับลำแสงที่ถูกส่งมาเพื่อเปลี่ยนสัญญาณแสงให้กลับไปเป็นสัญญาณมอดูเลตตามเดิม
โฟโต้ไดโอด (Photo Diode) ที่ทำหน้าที่รับลำแสงที่ถูกส่งมาเพื่อเปลี่ยนสัญญาณแสงให้กลับไปเป็นสัญญาณมอดูเลตตามเดิม จากนั้นก็จะส่งสัญญาณผ่านเข้าอุปกรณ์ดีมอดูเลต เพื่อทำการดีมอดูเลตสัญญาณมอดูเลตให้เหลือแต่สัญญาณข้อมูลที่ต้องการ
#รวมข้อสอบที่ออกบ่อยๆ รวบรวมโดยอาจารย์ของสถาบัน
#เจาะลึกครอบคุมตรงประเด็น เนื้อหาสาระสำคัญ ข่าวสารทันโลก
#จำหน่ายแนวข้อสอบมานานกว่า 10 ปี การรันตีจากผู้สอบติดมากมาย
#รวมหนังสือหรือไฟล์ เหมาะกับผู้ที่ไม่มีเวลาไปนั่งติว
แนวข้อสอบมี 2 รูปแบบ
1.แบบที่ 1 รอรับได้เลย ราคาเพียง 399 บาท (รอรับ 1-2 ชม หลังโอน)
2.แบบที่ 2 หนังสือ **ฟรี MP3** ราคา 699 บาท (ส่งฟรีขนส่งเอกชน)
ติดต่อสอบถาม/สั่งซื้อแนวข้อสอบ
Line ID : Panisara_test หรือคลิ๊กสั่งซื้อทันที
ชำระค่าสินค้าและบริการ
-ธ.กรุงไทย เลขที่บัญชี 983-0-97701-3
-ธ.กสิกรไทย เลขที่บัญชี 549-2-17930-4
(ชื่อบัญชี ปาณิสรา พระกาย ออมทรัพย์ สาขามหาวิทยาลัยขอนแก่น)
ถาม – ตอบ
1. ในการรอบรู้เรื่องพื้นฐานอิเล็กทรอนิกส์ จะเป็นส่วนเสริมสร้างความเข้าใจในด้านใดบ้าง
ตอบ ถึงแม้ว่าการเรียนรู้เกี่ยวกับอิเล็กทรอนิกส์อาจจะไม่มีความสำคัญ เท่ากับการเรียนรู้หลักการทำงานของเครื่องมือ แต่การรอบรู้เรื่องพื้นฐานทางไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ จะเป็นส่วนเสริมสร้างความเข้าใจในด้านการทำงาน การพัฒนาเทคโนโลยีของเครื่องมือวิทยาศาสตร์ต่าง ๆ ในห้องปฏิบัติการ รวมทั้งยังเป็นฐานความรู้ที่สำคัญในการเลือกเครื่องมือ การใช้เครื่องมือ
การบำรุงรักษาเครื่องมือ ตลอดจนการซ่อมแซมเครื่องมืออีกด้วย
2. ตัวต้านค่าคงที่ ทำหน้าที่อะไรบ้าง และตัวต้านทานชนิดนี้จะพบได้ในงานประเภทใด
ตอบ ตัวต้านค่าคงที่ (fixed resistor) หมายถึงตัวต้านทานที่มีค่าคงที่สำหรับการใช้งานที่ต้องการจำกัดการไหลของกระแสไฟฟ้าในปริมาณที่คงที่ค่าใดค่าหนึ่งในวงจรใด วงจรหนึ่ง ตัวต้านทานชนิดนี้จะพบได้ในเครื่องมือวิยาศาสตร์ในห้องปฏิบัติการทั่ว ๆ ไป มีลักษณะเป็นแท่งยาว ตรงกลางเป็นสารที่ต้านทานการไหลของกระแสไฟฟ้า ปลายทั้งสองข้างเป็นลวดโลหะที่นำกระแสไฟฟ้าได้ดี
3. ตัวต้านทานชนิดปรับค่าได้ มีความแตกต่างจาก ตัวต้านทานชนิดค่าคงที่ อย่างไร
ตอบ ตัวต้านทานชนิดปรับค่าได้ (variable resistor) เป็นตัวต้านทานที่ใช้สารต้านทานเช่นเดียวกับตัวต้านทานชนิดค่าคงที่ แต่ต่างกันตรงที่สามารถเปลี่ยนค่าความต้านทานได้ โดยการปรับด้วยมือหรือไขควง ขึ้นอยู่กับลักษณะและรูปร่างและลักษณะของตัวต้านทาน ตัวต้านทานชนิดนี้มีหน้าที่ในการควบคุมปริมาณกระแสไฟฟ้าให้เข้าสู่วงจรมากน้อยตามความต้องการ ตัวอย่างเช่น สวิทช์ควบคุมความเร็วของเครื่องหมุนเหวี่ยง(centrifuge) หรือพัดลม สวิทช์หรี่แสงสว่างของหลอดไฟฟ้า ลักษณะโดยทั่วไปตัวต้านทานแบบนี้จะมีสามขา ความต้านทานระหว่าง 2 ขาซึ่งอยู่ด้านนอกจะคงที่ ส่วนขาที่ 3 ซึ่งอยู่ตรงกลางจะเคลื่อนที่ได้ ทำให้ความต้านทานระหว่างขานี้กับขา 2 อันแรกเปลี่ยนไป แต่อาจมีรูปร่างอื่นๆ อีกตามความเหมาะสมในการใช้งาน
4. ให้อธิบาย การอ่านค่าความต้านทาน ในหน่วยโอห์ม พร้อมยกตัวอย่าง
ตอบ การอ่านค่าความต้านทาน ค่าความต้านทานอาจกำหนดเป็นตัวเลขเช่น 2Ω (หมายถึง 2 โอห์ม,ohm) 10 kΩ (หมายถึง 10 กิโลโอห์ม, kilo ohm), 5 MΩ (หมายถึง 5 เมกกะโอห์ม, mega ohm) หรืออาจบอกค่าความต้านทานเป็นรหัสสี 4 แถบ (ดูตารางตัวอย่าง) โดยแถบที่ 1 จะเริ่มนับจากแถบสีที่อยู่ติดปลายด้านใดด้านหนึ่งของตัวต้านทาน แถบที่ 1 และแถบที่ 2 จะเป็นค่าตัวเลขตัวที่ 1 และตัวที่ 2 ตามลำดับ แถบที่สามจะเป็นตัวคูณ แถบที่ 4 จะเป็นค่าความผิดพลาด ตัวอย่างเช่น ถ้าแถบสีที่ตัวต้านทานชนิดคาร์บอนเป็น สีแดง สีดำ สีน้ำตาลและสีทองตามลำดับแสดงว่า ตัวต้านทานตัวนี้มีค่าเท่ากับ 20 x 10 = 200 โอห์ม โดยแถบสีทองแสดงว่าผิดพลาด + 5% หมายความว่าตัวต้านทานตัวนี้มีค่าความต้านทานอยู่ระหว่าง 190 (95%) โอห์มถึง 210 (105%)โอห์ม ซึ่งตัวต้านทานชนิดคาร์บอนและชนิดฟิล์มจะกำหนดค่าความผิดพลาดต่างกัน(ตารางที่ 2.1) ตัวต้านทานที่ยิ่งมีความผิดพลาดยิ่งน้อยยิ่งมีราคาแพง
สี |
แถบที่ 1 (ตัวเลขตัว แรก) |
แถบที่ 2 (ตัวเลขตัวที่ 2) |
แถบที่ 3 (ตัวคูณ) |
แถบที่ 4 (ความผิดพลาด ชนิดคาร์บอน) |
แถบที่ 4 (ความผิดพลาด ชนิดฟิล์ม) |
ดำ น้ำตาล แดง ส้ม เหลือง เขียว น้ำเงิน ม่วง เทา ขาว ทอง เงิน ไม่มีสี |
0 1 2 3 4 5 6 7 8 9 - - - |
0 1 2 3 4 5 6 7 8 9 - - - |
1 10 100 1,000 10,000 100,000 1,000,000 10,000,000 0.01 0.1 0.1 0.01 - |
20 % 1% 2% 3% - 0.5 % 6 % 12.5 % 30 % 10 % 5% 10% 20% |
0 % 1 % 2 % - - 0.5 % 1.25 % 0.1 % 0.05 % - 5 % 10 % - |
5. อยากทราบว่าอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ใดที่ทำหน้าที่สะสมประจุไฟฟ้าไว้ในตัว และคายประจุไฟฟ้าให้
วงจรอย่างต่อเนื่อง (อธิบาย)
ตอบ ตัวเก็บประจุเป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ทำหน้าที่สะสมประจุไฟฟ้าไว้ในตัว และคายประจุไฟฟ้าให้วงจรอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นจึงนิยมใช้ตัวเก็บประจุเพื่อรักษาอัตราการไหลของกระแสไฟฟ้าในวงจรให้คงที่ รวมทั้งใช้สำหรับตัดสัญญาณรบกวน ใช้ในวงจรกำเนิดความถี่ และวงจรอื่น ๆ อีกหลายวงจร สำหรับการสะสมประจุของตัวเก็บประจุขึ้นอยู่กับขนาดและชนิดของตัวเก็บประจุโครงสร้างของตัวเก็บประจุประกอบด้วยแผ่นโลหะที่เป็นตัวนำสองแผ่นวางขนานกัน โดยมีสารที่เป็นฉนวนกั้นอยู่ตรงกลาง ภายนอกมักหุ้มด้วยสารที่เป็นฉนวน การเก็บประจุจะเกิดเมื่อขั้วทั้งสองของตัวเก็บประจุต่อกับขั้วบวกและขั้วลบของแบตเตอรี่ โดยแผ่นตัวนำที่ต่อกับขั้วลบจะเก็บประจุลบ และแผ่นตัวนำที่ต่อกับขั้วบวกจะเก็บประจุบวก เมื่อปลดขั้วแบตเตอรี่ออกประจุบวกและลบยังถูกเก็บอยู่ในตัวเก็บประจุ ดังนั้นการถอดองค์ประกอบเพื่อซ่อมแซมเครื่องมือที่มีตัวเก็บประจุขนาดใหญ่อยู่จึงต้องทำลายประจุที่ยังถูกเก็บนี้ เพื่อป้องกันอันตรายแก่ผู้ซ่อมแซม โดยการเอาโลหะแตะระหว่างปลายทั้งสองของปลั๊กไฟฟ้าของเครื่องมือ หรือเอาสายไฟฟ้าแตะระหว่างขั้วบวกและขั้วลบของตัวเก็บประจุ ถ้ามีประจุไฟฟ้าตกค้างอยู่มากจะมองเห็นประกายไฟเกิดขึ้นทันทีระหว่างที่เอาโลหะหรือสายไฟฟ้าแตะขั้วทั้งสองของตัวเก็บประจุ
6. ชนิดของตัวเก็บประจุ (type of capacitor) แบ่งออกเป็นหลายชนิด ซึ่งแต่ละชนิดมีลักษณะอย่างไร
(อธิบาย)
ตอบ 1. ชนิดของตัวเก็บประจุ (type of capacitor) แบ่งออกเป็นหลายชนิด ดังนี้ (รูปที่ 2.2)
1.1 ตัวเก็บประจุชนิดกระดาษ (paper capacitor) ตัวนำทั้งสองแผ่นทำจากกระดาษอะลูมินัมฟอยล์ (aluminum foil) ตรงกลางเป็นแผ่นฉนวนทำด้วยกระดาษเคลือบไข (waxed paper)
ม้วนกันเป็นทรงกระบอก โดยให้ปลายตัวนำของทั้งสองแผ่นโผล่ทะลุชั้นนอกสุดของทรงกลม ซึ่งมัก
หุ้มด้วยพลาสติก ค่าความจุไฟฟ้ามักจะพิมพ์ไว้บนตัวเก็บประจุโดยมีค่าความจุตั้งแต่ 300 pF ถึง 4 μF
ตัวเก็บประจุชนิดนี้สามารถทนความต่างศักย์ได้ถึง 600 โวลต์
1.2 ตัวเก็บประจุชนิดไมกา (mica capacitor) ตัวเก็บประจุชนิดนี้จะใช้แผ่นไมกาเป็นแผ่นฉนวนกั้นระหว่างแผ่นโลหะตัวนำ ค่าของความจุอาจบอกเป็นตัวเลข หรือใช้รหัสสีคล้ายกับตัวต้านทานแต่ไม่ค่อยนิยมใช้ในปัจจุบัน ตัวเก็บประจุชนิดนี้มีค่าความจุน้อย โดยอยู่ในช่วง 1-500 pF (picro farad) และสามารถทนความต่างศักย์ได้สูงถึง 7,500 โวลต์
1.3 ตัวเก็บประจุชนิดเซรามิก (ceramic capacitor) มีรูปร่างได้หลายแบบ แต่ที่พบมากมักเป็นรูปแบนกลมเหมือนจาน เพราะโครงสร้างภายในประกอบด้วยแผ่นเซรามิกรูปวงกลมกลมกั้นอยู่ระหว่างแผ่นอะลูมิเนียมทรงกลม 2 แผ่น ซึ่งแต่ละแผ่นจะต่อกับขาโลหะแล้วยื่นออกมาภายนอกตัวเก็บประจุ มักมีค่าความจุ 1 pF - 0.01 μF สามารถทนความต่างศักย์ไฟฟ้าได้สูงถึง 30,000 โวลต์
1.4 ตัวเก็บประจุชนิดอิเล็กโทรไลต์ (electrolyte capacitor) มักมีรูปร่างคล้ายกระป๋องโลหะอะลูมิเนียมทรงกระบอกหุ้มด้วยพลาสติก ภายในประกอบด้วยแผ่นอะลูมินัม (aluminum foil) 2แผ่น แผ่นที่ 1 ซึ่งทำหน้าที่เป็นขั้วบวกจะเคลือบผิวด้วยอ๊อกไซด์ทำให้เกิดเป็นชั้นฉนวนคั่นระหว่างแผ่นอลูมิเนียมทั้ง สองแผ่น แผ่นที่ 2 ซึ่งทำหน้าที่เป็นขั้วลบจะประกบติดแผ่นผ้า หรือแผ่นกระดาษที่เคลือบสารอิเล็กโทรไลต์ แล้วจึงม้วนเข้าหากันเป็นทรงกระบอก บรรจุในกระบอกอะลูมิเนียมหุ้มด้วยหุ้มด้วยพลาสติก ตัวเก็บประจุชนิดนี้สามารถเก็บประจุไฟฟ้าได้สูงถึงหลายพันไมโครฟารัดแต่ทนความความต่างศักย์ได้ไม่เกิน 400 โวลต์ ในการใช้งานต้องต่อให้ถูกขั้ว โดยขั้วบวกของตัวเก็บประจุต้องต่อกับขั้วบวกของแบตเตอรี่ และขั้วลบของตัวเก็บประจุต้องต่อกับขั้วลบของแบตเตอรี่ และไม่ควรให้ค่าความต่างศักย์ไฟฟ้าสูงกว่าค่าที่กำหนดไว้บนตัวเก็บประจุ เพราะตัวเก็บประจุอาจเกิดการระเบิด
1.5 ตัวเก็บประจุชนิดแทนทาลัม (tantalum capacitor) ตัวนำของตัวเก็บประจุชนิดอิเล็กโทรไลต์ใช้แผ่นโลหะแทนทาลัมแทนแผ่นอะลูมิเนียมออกไซด์ เพราะทำให้มีกระแสไฟฟ้ารั่วไหลน้อยกว่า มีความเที่ยงตรงในการใช้งาน มีความจุอยู่ในช่วง 0.01-400 ไมโครฟารัด แต่มีข้อเสียที่มีราคาแพง และทนความต่างศักย์ได้น้อย กล่าวคืออยู่ในช่วง 5-50 โวลต์
1.6 ตัวเก็บประจุชนิดแกนอากาศ เป็นตัวเก็บประจุที่ประกอบด้วยแผ่นโลหะ 2 แผ่น แผ่นที่หนึ่งจะอยู่นิ่ง (strator plate) แผ่นที่ 2 จะเคลื่อนไหว (rotor plate) โดยมีอากาศเป็นฉนวนกั้นระหว่างแผ่นโลหะตัวนำ ทำให้เก็บประจุได้น้อยมาก ดังนั้นจึงต้องเพิ่มความสามารถในการเก็บประจุโดยจำนวนแผ่นโลหะวางขนานกันหลายแผ่น ตัวเก็บประจุชนิดนี้สามารถเปลี่ยนความจุไปเรื่อย ๆ ตามพื้นที่ผิวของแผ่นโลหะที่อยู่ใกล้กัน มักพบในวงจรหมุนหาคลื่นความถี่ในเครื่องรับวิทยุระบบเก่า
7. ฉนวน (Insulator) มีคุณสมบัติในการทำงานอย่างไร
ตอบ ฉนวนเป็นสารที่มีวาเลนท์อิเล็กตรอน(valent electron) มากกว่า 4 ซึ่งมีคุณสมบัติยอมให้กระแสไฟฟ้าไหลผ่านตัวมันเองได้ยากหรือไม่ได้เลย เนื่องจากวาเลนท์อิเล็กตรอนหลุดออกจากอะตอมได้ยาก สารต่าง ๆ มีความเป็นฉนวนที่แตกต่างกัน โดยนิยมใช้สุญญากาศ เป็นตัวอ้างอิงโดยให้มีค่าความนำไฟฟ้า (dielectric constant) เท่ากับ 1 พบว่าอากาศ ยาง ไม้ กระดาษพาราฟฟิน แก้วไมกา และ น้ำบริสุทธิ์ มีค่าความนำไฟฟ้าเป็น 1.0006 , 2.5-35, 2.5-8, 3.5, 5-10, 5-6 และ 81 ตามลำดับ ดังนั้นสารใดที่มีค่าความนำไฟฟ้ายิ่งมาก จะยิ่งมีคุณสมบัติในการเป็นฉนวนน้อยลง ฉนวนจึงมีหน้าที่ป้องกันกระแสไฟฟ้าลัดวงจร และใช้ป้องกันอันตรายแก่ผู้ใช้งานเครื่องมือ
8. หน้าที่หลักของฟิวส์ (Fuse) คืออะไร และฟิวส์สามารถแบ่งได้เป็นกี่ชนิด
ตอบ ฟิวส์เป็นอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่ป้องกันความเสียหายของเครื่องมือ และลดอันตรายจากกระแสไฟฟ้า โดยการตัดกระแสไฟฟ้าที่ไหลเข้าสู่เครื่องมือ เมื่อเกิดกระแสไฟฟ้าลัดวงจรภายในเครื่องมือ หรือเมื่อมีกระแสไฟฟ้าไหลเข้าสู่เครื่องมือมากเกินไป
1. ชนิดของฟิวส์ ฟิวส์อาจแบ่งได้เป็น 2 ชนิดใหญ่ ๆ คือ
1.1 ฟิวส์อิเล็กทรอนิกส์ (electronic fuse) เป็นฟิวส์ที่มีความไวในการตัดกระแสไฟฟ้าที่เข้าสู่เครื่องมือ ถ้ามีกระแสไฟฟ้าเข้าสู่เครื่องมือมากเกินค่าที่ฟิวส์อิเล็กทรอนิกส์กำหนดหรือมีความต่างศักย์
(potential) ของกระแสไฟฟ้ามีค่าสูงหรือต่ำเกินไป (220 v ± 20%)
ฟิวส์ชนิดนี้เป็นฟิวส์ที่มีราคาค่อนข้างแพง เพราะประกอบด้วยวงจรอิเล็กทรอนิกส์ที่ซับซ้อนแต่การซื้อฟิวส์อิเล็กทรอนิกส์มาติดตั้งเพิ่มเติมให้เครื่องมือจึงเป็นทางเลือกที่น่าจะคุ้มค่าสำหรับการรักษาเครื่องมือวิทยาศาสตร์ที่มีราคาสูง
1.2 ฟิวส์ธรรมดา (physical fuse) ฟิวส์ชนิดนี้จะตัดกระแสไฟฟ้าโดยอาศัยหลักการหลอมตัวของโลหะที่ใช้ทำฟิวส์ เมื่อได้รับความร้อนเกินกำหนด สำหรับโลหะที่ใช้ทำฟิวส์มักเป็นโลหะหรือโลหะผสมที่มี ความต้านทานน้อยและมีจุดหลอมเหลว (melting point) ต่ำ ตัวอย่างเช่น ลวดอะลูมิเนียม ลวดนิเกิล ลวดดีบุกเคลือบทองแดง ความร้อนที่ฟิวส์ได้รับอาจเกิดจากการลัดวงจร หรือความต่างศักย์ของกระแสไฟฟ้าต่ำหรือสูงเกินไป แต่เนื่องจากฟิวส์ชนิดนี้ขาดค่อนข้างช้า โดยเฉพาะในกรณีที่กระแสไฟฟ้าเพิ่มขึ้นเกินอัตราทนกระแสสูงสุด(overload current) ของฟิวส์ไม่มากนัก (1.35เท่า) จะต้องใช้เวลา 1-2 นาทีฟิวส์จึงจะขาด ดังนั้นจึงมักพบว่าชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่บอบบางมากของเครื่องมือ ตัวอย่างเช่น ไอซี(integrated circuit, IC) หรือไดโอด(diode) มักจะเสียหายก่อนที่ฟิวส์จะขาดเสมอ ๆ ฟิวส์แบบนี้แบ่งได้เป็นอีก 3 ชนิด ตามความเร็วของการขาดคือ
1.2.1 ฟิวส์ขาดเร็ว (fast blow fuse) ฟิวส์ชนิดนี้มักทำด้วยโลหะผสมที่มีจุดหลอมเหลวต่ำ ออกแบบให้ขาดเร็วโดยการขึงเส้นลวดฟิวส์ในแนวทแยงมุมระหว่างขั้วของหลอดทำให้ฟิวส์ขาดออกจากกันอย่างรวดเร็ว โดยพบว่าถ้ากระแสไฟฟ้าไหลผ่านฟิวส์ในอัตรา 5 เท่าของอัตราทนกระแสสูงสุดของฟิวส์ ฟิวส์จะขาดในเวลา 0.01 วินาที จึงนิยมใช้ฟิวส์ชนิดนี้ในเครื่องมือวิทยาศาสตร์ที่จะเสียหายจากกระแสไฟฟ้าได้ง่าย
1.2.2 ฟิวส์ขาดเร็วปานกลาง (medium blow fuse) ทำจากโลหะผสมที่จุดหลอมเหลวต่ำเช่นกัน ลักษณะฟิวส์อาจเป็นเส้นตรงหรือหยักแบบฟันปลา จากการทดลองพบว่าถ้ากระแสไฟฟ้าไหลผ่านฟิวส์ในอัตรา 5 เท่าของอัตราทนกระแสสูงสุดของฟิวส์ ฟิวส์จะขาดในเวลา 2 วินาที นิยมใช้ในเครื่องมือที่ใช้กระแสไฟฟ้าสูงสุด (peak current) ที่เครื่องมือต้องการขณะเริ่มปล่อยกระแสไฟฟ้าเข้าสู่เครื่องมือ ไม่แตกต่างจากกระแสไฟฟ้าที่เครื่องมือต้องการขณะเครื่องทำงานตามปกติ (operating current) มากนัก เป็นฟิวส์ที่ใช้ในเครื่องมือวิทยาศาสตร์ทั่ว ๆ ไป
1.2.3 ฟิวส์ขาดช้า (slow blow fuse) สร้างขึ้นมาเพื่อใช้กับเครื่องมือที่ต้องการกระแสไฟฟ้าสูงสุดแตกต่างจากกระแสไฟฟ้าที่ทำงานตามปกติมาก ๆ ตัวอย่างของเครื่องมือเหล่านี้ได้แก่
เครื่องมือที่มีมอเตอร์ขนาดใหญ่ เครื่องมือที่มีขดลวดความร้อน(heating coil) เพราะถ้าใช้ฟิวส์ขาดเร็ว
ปานกลาง ขณะที่เปิดเครื่องมือจะมีกระแสไฟฟ้าไหลเข้าสู่เครื่องมือเป็นจำนวนมากทำให้ฟิวส์ขาดบ่อย ๆ ฟิวส์ขาดช้าจึงชะลอการขาดของฟิวส์โดยการเพิ่มแท่งโลหะหรือขดลวดสปริงเข้าไประหว่างฟิวส์ หรือเพิ่มตัวต้านทานขนาดเล็ก(ไม่เกิน 200 โอห์ม) เพื่อจำกัดปริมาณกระแสที่จะไหลผ่าน ซึ่งจะช่วยลดปริมาณความร้อนที่เกิดบนโลหะฟิวส์เป็นการชั่วคราวทำให้ฟิวส์ไม่ขาดทันทีในขณะที่เปิดสวิทช์ปล่อยกระแสไฟฟ้าเข้าสู่เครื่องมือ
9. เครื่องควบคุมกระแสไฟฟ้าทำหน้าที่หลักอะไรบ้าง และแรงดันของกระแสไฟฟ้าต่ำมากส่วนมากมี
สาเหตุเกิดจากสิ่งใด
ตอบ เครื่องควบคุมกระแสไฟฟ้าเป็นเครื่องมือที่ทำหน้าที่ควบคุมกระแสไฟฟ้า ทั้งในด้านความต่างศักย์ (แรงดัน) และปริมาณกระแสไฟฟ้า หรืออย่างใดอย่างหนึ่งให้คงที่อยู่ในช่วงที่เครื่องมือไม่เกิดการเสียหาย เพราะถ้าแรงดันไฟฟ้าต่ำมากจะมีปริมาณกระแสไฟฟ้าไหลเข้าสู่เครื่องมือมากจนเกิดการไหม้เสียหาย และกรณีที่แรงดันไฟฟ้าสูงเกินอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ซึ่งมีขีดจำกัดในการทำงานจะเสียหาย การที่แรงดันไฟฟ้าสูงขึ้นหรือต่ำลงมากบางครั้งไม่ทำให้เครื่องมือเสียหาย แต่จะเป็นผลให้อายุการใช้งานของเครื่องมือสั้นลง เครื่องมือหยุดทำงาน หรือทำให้ตัวตรวจหา( detector) อ่านค่าผิดพลาด
แรงดันของกระแสไฟฟ้าต่ำมากอาจเกิดจากการเปิดเครื่องมือให้เริ่มทำงานพร้อม ๆ กันหลายเครื่อง มีการใช้เครื่องมือที่ใช้กระแสไฟฟ้ามาก ๆ ตัวอย่างเช่น เครื่องปรับอากาศ ลิฟท์ หรือมีเครื่องมือที่เสื่อมสภาพและมีการลัดวงจร ทำให้ใช้กระแสไฟฟ้าในปริมาณมาก หรือเกิดจากการต่อพ่วงเครื่องมือในวงจรจ่ายไฟมากเกินไป
10. ถ้าหากจะแบ่งชนิดของเครื่องควบคุมกระแสไฟฟ้า ตามลักษณะการทำงาน จะสามารถแบ่งออกได้เป็น
กี่ชนิด ได้แก่ชนิดใดบ้าง
ตอบ ชนิดของเครื่องควบคุมกระแสไฟฟ้า แบ่งออกเป็น 2 ชนิดตามลักษณะการทำงานคือ
1.1 ชนิดธรรมดา (manual type) เป็นเครื่องควบคุมโวลต์ที่อาศัยการเปลี่ยนจำนวนขดลวดของหม้อแปลงไฟฟ้าในเครื่องควบคุมโวลต์ เพื่อควบคุมกระแสไฟฟ้าให้คงที่ตามที่ต้องการ แต่เนื่องจากผู้ใช้ต้องเป็นผู้ควบคุมด้วยตัวเองทำให้ไม่สามารถควบคุมโวลต์ได้ตลอดเวลา และการควบคุมโวลต์มีความคลาดเคลื่อนสูง จึงไม่นิยมใช้ในห้องปฏิบัติการวิทยาศาสตร์ เพราะมีโอกาสที่จะทำให้เครื่องมือวิทยาศาสตร์เสียหายเป็นจำนวนมาก
1.2 ชนิดอัตโนมัติ (automatic type) เป็นเครื่องควบคุมโวลต์ที่ใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ช่วยควบคุมโวลต์ให้คงที่ตลอดเวลาโดยอัตโนมัติ และสามารถควบคุมโวลต์ให้ผิดพลาดไม่เกินร้อยละ 7 จึงเหมาะสำหรับใช้ในห้องปฏิบัติการวิทยาศาสตร์ ถึงแม้ว่าจะมีราคาสูงกว่าเครื่องควบคุมโวลต์ชนิดธรรมดา เครื่องควบคุมโวลต์ชนิดนี้สามารถแบ่งออกได้เป็นอีก 2 ชนิดย่อยตามหลักการทำงานคือ
1.2.1 ชนิดเฟอโรเรโซแนนท์ (ferroresonant type) ควบคุมโวลต์ให้คงที่โดยการใช้ขดลวดเหนี่ยวนำ (inductance coil) และตัวเก็บประจุควบคุมโวลต์ที่จ่ายให้เครื่องมือให้คงที่อยู่ในช่วงแคบ ๆ ถึงแม้ว่าโวลต์ของกระแสไฟฟ้าที่ป้อนสู่เครื่องควบคุมจะเปลี่ยนแปลง
1.2.2 ชนิดออโตทรานฟอร์มเมอร์ (autotransformer type) ควบคุมโวลต์ให้คงที่โดยอาศัยการเปลี่ยนจำนวนขดลวดของออโตทรานฟอร์มเมอร์ให้สอดคล้องกับโวลต์ที่ต้องการควบคุมโดยเครื่องควบคุมชนิดนี้จะมีตัวเปรียบเทียบโวลต์ (voltage comparator) ทำหน้าที่เปรียบเทียบโวลต์ที่ป้อนเข้าสู่เครื่องควบคุมกับค่า 220 โวลต์ ถ้าโวลต์มีความแตกต่างกันจะส่งสัญญาณไปยังมอเตอร์ของสะพานไฟฟ้าให้เคลื่อนที่ไปยังตำแหน่งขดลวดของออโตทรานฟอร์มเมอร์ที่ต้องการ กล่าวคือถ้าโวลต์เกิน 220 โวลต์ มอเตอร์จะหมุนสะพานไฟฟ้าเลือกจำนวนรอบของขดลวดเพิ่มขึ้น เพื่อลดโวลต์ที่จ่ายให้เครื่องมือให้คงที่อยู่ที่ 220 โวลต์ โดยมีความผิดพลาดอยู่ในช่วงร้อยละ 1-5 แต่เมื่อโวลต์ลดลงต่ำกว่า 220 โวลต์ มอเตอร์จะทำงานในทางตรงกันข้าม
แนวข้อสอบวิชาอิเล็กทรอนิกส์
++++++++++++++++++++++++++++++++++
1. ทรานซิสเตอร์นิยมใช้ในวงจรอะไร
ก. วงจรเร็คติไฟล์
ข. วงจรโมดิไฟด์
ค. วงจรแอมปริจูด
ง. วงจรแอมพลิไฟล์
ตอบ ง. วงจรแอมพลิไฟล์
2. สมการทิศทางการไหลของกระแส คือข้อใด
ก. IE = IB + IC
ข. IB = IC + IE
ค. IC = IB + IE
ง. IE = IB = IC
ตอบ ข. IB = IC + IE
3. วงจรทรานซิสเตอร์ที่นิยมใช้ในปัจจุบันคือข้อใด
ก. คอมม่อนเบส
ข. คอมม่อนอิมิตเตอร์
ค. คอมม่อนคอลเลคเตอร์
ง. คอมม่อนซีเลคเตอร์
ตอบ ข. คอมม่อนอิมิตเตอร์
4. แรงดันที่จ่ายไบอัสตรง ให้ TR ทำงานคือข้อใด
ก. VAA
ข. VBB
ค. VCC
ง. Vout
ตอบ ข. VBB
5. ค่าอัตราการขยาย เบต้า มีค่าอยู่ในช่วงใด
ก. 0.95 - 0.99
ข. 10 - 99
ค. 20 - 100
ง. 20 – 200
ตอบ ง. 20 – 200
6. จุดคัตออฟทรานซิสเตอร์ หมายถึงข้อใด
ก. ทรานซิสเตอร์ขาด
ข. ทรานซิสเตอร์ไม่ทำงาน
ค. ทรนซิสเตอร์ทำงาน
ง. ทรานซิสเตอร์เก็บประจุ
ตอบ ข. ทรานซิสเตอร์ไม่ทำงาน
7. จุดอิ่มตัวของทรานซิสเตอร์ หมายถึงข้อใด
ก. สภาวะที่รับแรงดันเต็มพิกัด
ข. สภาวะที่ไม่มีกระแสไหลผ่าน
ค. สภาวะที่ทำงานมีแรงดันที่ขา C กับ E
ง. สภาวะที่เกิดกระแสรั่วซึมที่ขา C กับ E
ตอบ ข.สภาวะที่ไม่มีกระแสไหลผ่าน
8. เมื่อทรานซิสเตอร์ทำงาน เปรียบได้กับสวิทช์ในข้อใด
ก. สวิทช์ปิด
ข. สวิทช์เปิด
ค. สวิทช์ตัดกระแส
ง. สวิทช์คลายแรงดัน
ตอบ ก.สวิทช์ปิด
9. ข้อใดคืออัตราการขยายกระแสของวงจรคอมม่อนคอลเลคเตอร์
ก. แกมม่า
ข. เบต้า
ค. อัลฟ่า
ง. นาโน
ตอบ ก. แกมม่า
10. ความเพี้ยนของสัญญาณ เกิดขึ้นได้อย่างไร
ก. จุดทำงานอยู่ห่างจากจุดอิ่มตัว
ข. จุดทำงานอยู่ใกล้จุดคัทออฟ
ค. จุดการทำงานอยู่เหนือเส้นโหลดไฟตรง
ง. จุดทำงานอยู่บนจุดอิ่มตัว
ตอบ ง. จุดทำงานอยู่บนจุดอิ่มตัว